ซง ฮเย-กโย (อ่านว่า ซอง เฮ-เคียว เกาหลี: ???, ฮันจา: ???, MC: Song Hye-gyo, MR: Song Hye-kyo; เกิด 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524) เป็นนักแสดงชาวเกาหลีใต้ เธอเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นนางแบบให้กับบริษัทเอสเคกรุปและเป็นตัวประกอบในละครโรแมนติกดราม่าเรื่อง รักแรกสุดหัวใจ รักสุดท้ายมิอาจลืม ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในบทชอย อุนโซ ในละครเรื่อง รักนี้ชั่วนิรันดร์ ซึ่งจากบทบาทนี้ ทำให้ซงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแพ็กซังอาร์ตส์อวอร์ดส์ในสาขานักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม หลังจากนั้น เธอยังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในละครเรื่อง เทหน้าตักรักหมดใจ, สะดุดรักที่พักใจ และ รักนี้ไม่ต้องมีบท
ในปี พ.ศ. 2548 ซงแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง สะดุดรักกับนายเจี๋ยมเจี๊ยม และได้แสดงนำในภาพยนตร์ย้อนยุคเรื่อง จอมนางสะท้านแผ่นดิน ในปี พ.ศ. 2556 ซงยังได้รับคำยกย่องในละครเรื่อง สายลมรักในฤดูหนาว ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลแดซัง จากงานเอแพนสตาร์อวอร์ดส์ รวมถึงเข้าชิงรางวัลแพ็กซังอาร์ตส์อวอร์ดส์และเอสบีเอสดราม่าอวอร์ดส์ ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทมินิซีรีส์ขนาดสั้น
หลังจากห่างหายจากการแสดงละครไปนานร่วม 2 ปี ซงกลับมาแสดงละครอีกครั้งในปี พ.ศ. 2559 ในละครเรื่อง ชีวิตเพื่อชาติ รักนี้เพื่อเธอ โดยละครเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จทั่วเอเชียและมีเรตติงสูงเกินกว่าร้อยละ 30 ในรอบกว่า 4 ปี ของละครโทรทัศน์เกาหลี ซึ่งทำให้เธอมีชื่อเสียงในระดับฮันรยู
ซง ฮเย-กโย เกิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 ที่แทกู ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างที่ซงเกิดนั้น เธอมีอาการป่วยไม่ทราบสาเหตุ แพทย์และพ่อแม่ของเธอคิดว่าเธอมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก แต่ต่อมาซงฟื้นตัวจากอาการป่วย พ่อและแม่ของเธอจึงไปจดทะเบียนเกิดบุตรในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 (แทนที่จะเป็นวันเกิดจริงในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524) หลังจากนั้นเขาทั้งสองก็แยกทางกัน โดยซงอาศัยอยู่กับแม่ ต่อมา ได้ย้ายไปเขตคังนัม กรุงโซล ที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เธอเป็นฟิกเกอร์สเกตขณะกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนประถมศึกษาแดโดโซล แต่ถึงกระนั้น เธอก็ตัดสินใจขอลาออกขณะอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 8 แม้ว่าซงมองตัวเองว่าเป็นคนขี้อายและเก็บตัว แต่ครูในโรงเรียนมัธยมจดจำเธอได้ว่า "เธอเป็นเด็กร่าเริง เข้ากับเพื่อน ๆ ของเธอได้ดี และมักเป็นคนมีอารมณ์ที่สดใสตลอด" หลังจากนั้น ซงศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยเซจง สาขาวิชาศิลปะภาพยนตร์
เมื่อเรียนจบชั้นปีที่สามจากโรงเรียนมัธยมอึนกวังเกิลส์ในปี พ.ศ. 2539 ซงเข้าร่วมประกวดโมเดลทาเลนต์แมนิจเม็นคอนเทสต์ จนได้รับรางวัลชนะเลิศ ซงปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะนางแบบให้กับบริษัทเอสเคกรุ๊ปที่ผลิตเครื่องแบบนักเรียน ในปีเดียวกัน เธอมีบทบาทเล็ก ๆ ในละครโทรทัศน์เกาหลีเรื่องแรกคือ รักแรกสุดหัวใจ รักสุดท้ายมิอาจลืม นอกจากนี้ เธอยังปรากฏในละครซิตคอมเรื่อง Soonpoong Clinic อีกด้วย จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2543 เธอแสดงละครโรแมนติกดราม่าเรื่อง รักนี้ชั่วนิรันดร์ กำกับโดยยุน ซอกโฮ ออกอากาศทางช่องเคบีเอส แสดงนำร่วมกับซง ซึง-ฮ็อนและวอน บิน โดยเป็นเรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่างพี่ชายกับน้องสาว รักนี้ชั่วนิรันดร์ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีและประสบความสำเร็จอย่างมากมีเรตติงสูงถึงร้อยละ 38.6% และมีผู้ชมมากถึง 46.1% ซึ่งทำให้ละครเรื่องนี้มีเรตติงสูงสุดตลอดกาลอันดับที่ 25 ของสถานีโทรทัศน์เคบีเอสอีกด้วย รวมถึงทำให้ซงมีชื่อเสียงทั้งในเกาหลีและทั่วเอเชีย สำหรับการแสดงจากละครเรื่องนี้ เธอได้รับรางวัลเคบีเอสดราม่าอวอร์ดส์ในสาขาขวัญใจช่างภาพและนักแสดงหญิงยอดนิยม อีกทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแพ็กซังอาร์ตส์อวอร์ดส์ในสาขานักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม
ในปี พ.ศ. 2546 ความนิยมของเธอก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเธอแสดงร่วมกับอี บย็อง-ฮ็อนในละครเรื่อง เทหน้าตัก รักหมดใจ ปีถัดมา เธอแสดงร่วมกับเรนในละครรักตลกเรื่อง สะดุดรัก ที่พักใจ โดยเป็นเรื่องราวของฮันจีอุน หญิงสาวผู้มีความฝันที่จะเป็นนักเขียนนวนิยายชื่อดัง แต่ด้วยความไว้ใจที่มีต่อเพื่อน จึงทำให้เธอต้องเสียบ้านที่รักมากที่สุดให้กับลียองเจ ซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง แต่ก็เกิดเรื่องราววุ่น ๆ มากมาย เมื่อลียองเจตกหลุมรักเธอเข้า ละครเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จทางเรตติงโดยได้รับความนิยมในเกาหลีและโซลอันดับ 1 ตั้งแต่ตอนแรกถึงตอนจบ และเป็นผลงานสร้างชื่อให้กับซงอีกครั้ง นับตั้งแต่ละครเรื่อง รักนี้ชั่วนิรันดร์ ในปี พ.ศ. 2543 สำหรับการแสดงจากละครเรื่องนี้ เธอกวาด 3 รางวัลจากเคบีเอสดราม่าอวอร์ดส์ ในสาขาคู่ยอดเยี่ยมร่วมกับเรน นักแสดงหญิงยอดนิยม และยอดเยี่ยมสำหรับนักแสดงหญิง รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแพ็กซังอาร์ตส์อวอร์ดส์ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทละครโทรทัศน์ แต่พ่ายให้คิม จอง-อึนจากละครเรื่อง ฝันรักปารีส (Lovers in Paris)
หลังจากประสบความสำเร็จทั่วเอเชียของละครเรื่อง สะดุดรัก ที่พักใจ ซงได้แสดงภาพยนตร์ในเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกร่วมกับชา แท-ฮย็อน ในภาพยนตร์เรื่อง สะดุดรักกับนายเจี๋ยมเจี๊ยม (รีเมคจากภาพยนตร์เรื่อง พร่ำหัวใจ เพรียกหารักที่กลางโลก) โดยเป็นเรื่องราวความรักของชายหนุ่มและหญิงสาวในช่วงมัธยม ซึ่งในขณะที่ความรักของทั้งสองคนก่อตัวไปด้วยดีแต่แล้วโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็ได้พรากชีวิตเธอไปจากเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีแต่ไม่ประสบความสำเร็จบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิส ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคะแนนความนิยมจากเว็บไซต์รอตเทนโทเมโทส์คิดเป็นร้อยละ 68 ซึ่งจัดอยู่ในระดับ "เฟรช" ส่วนเว็บไซต์อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบสได้ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ 7.2 จาก 10 คะแนน สำหรับการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแพ็กซังอาร์ตส์อวอร์ดส์และรางวัลแกรนด์เบลล์อวอร์ดส์ ในสาขานักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ประเภทภาพยนตร์ อีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2550 ซงแสดงภาพยนตร์เรื่อง จอมนางสะท้านแผ่นดิน ร่วมกับยู จี-แท กำกับโดยชัง ยุน-ฮย็อน ภาพยนตร์ซึ่งมีบทดัดแปลงมาจากนวนิยายของฮอง ซุค-จุงที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมมันแฮ โดยเป็นเรื่องราวชีวิตจริงของฮวัง จิน-อี นางรำผู้มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยราชวงศ์โชซอน เดิมทีช็อน จี-ฮย็อนและซู แอถูกพิจารณาให้รับบทบาทนี้ แต่ผู้กำกับ ชัง ยุน-ฮย็อน ให้เหตุผลที่เลือกซงมารับบทนี้ว่า เขาอยากเปลี่ยนภาพลักษณ์ของซงที่ดู "น่ารักเกินไป" ในปี พ.ศ. 2552 ซงแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดนอกกระแสเรื่อง เมกยัวร์เซลฟ์แอตโฮม เป็นภาพยนตร์แนวระทึกขวัญจิตวิทยาที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาวที่เกิดมาเพื่อเป็นหมอผีและพยายามที่จะหนีชะตากรรมของเธอด้วยการกลายเป็นเจ้าสาวที่อพยพเข้ามาในสหรัฐอเมริกา
หลังจากห่างหายจากการแสดงละครไป 4 ปี ซงกลับมาแสดงอีกครั้งในช่วงปลายปี 2552 ในละครเรื่อง รักนี้ไม่ต้องมีบท ระหว่างถ่ายทำละคร ซงพบกับฮย็อน บินนักแสดงนำในละครเรื่องนี้ พวกเขาเริ่มคบหากันในเดือนมิถุนายน และเลิกรากันในปี พ.ศ. 2554
ในปี พ.ศ. 2553 เธอแสดงในภาพยนตร์ 3 เรื่อง 3 สไตล์ เรื่อง รักแรก รักเธอ รักสุดท้าย กำกับโดยผู้กำกับ 3 สัญชาติ ไทย, ญี่ปุ่น และเกาหลี แต่ละตอนจะมีความเชื่อมโยงในแง่ของภพ อดีต, ปัจจุบัน และอนาคต ที่เกิดขึ้นในเมืองปูซาน โดยซงได้ร่วมแสดงอนาคตร่วมกับคัง ดง-วอน ในภาพยนตร์เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ถูกขโมยความทรงจำทั้งหมดทั้งความรักและคนรักของเขาไป ซึ่งนำไปสู่ชะตากรรมที่ร้ายแรงเมื่อเขาเดินทางเพื่อตามทวงทุกอย่างกลับคืน
ซงยังรับบทเป็นหญิงสาวที่ยอมยกโทษให้กับเด็กอายุ 17 ปี ที่ฆ่าคู่หมั้นของเธอ แต่การให้อภัยในครั้งนี้กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองและผู้อื่นอย่างสาหัส ในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง ลมหายใจรักมิอาจลืม ออกฉายในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 ซงเป็นแฟนตัวยงของผู้กำกับลี จ็อง-ฮยัง เธอตอบรับทันทีที่ได้รับการติดต่อ ถึงแม้จะมีความยากลำบากในการรับบทนี้ แต่ซงบอกว่าเธอตกหลุมรักในบทภาพยนตร์ และรู้สึกว่าการแสดงของเธอนั้นเต็มที่แล้ว เธอยังพูดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็น "จุดเปลี่ยน" ในชีวิตของเธอ
ในปี พ.ศ. 2556 ซงเป็นนักแสดงสมทบในภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่อง ยอดปรมาจารย์ “ยิปมัน” กำกับโดยผู้กำกับชาวจีน หว่อง ก๊า ไหว่ ต่อมา ซงกลับมาร่วมงานกับนักเขียนบทโน ฮี-คย็องจาก รักนี้ไม่ต้องมีบท ในละครเรื่อง สายลมรักในฤดูหนาว ดัดแปลงมาจากละครญี่ปุ่นเรื่อง ไอนันเตะอิราเนะโย, นัทสึ (Ai Nante Irane Yo, Natsu) ในปี พ.ศ. 2545 โดยซงรับบทเป็นหญิงสาวตาบอดที่โดนนักพนันปลอมตัวเป็นพี่ชายของเธอเพื่อหวังมรดก รับบทโดยโช อิน-ซ็อง สายลมรักในฤดูหนาว ประสบความสำเร็จ โดยซงและโชถูกยกย่องในการแสดงของพวกเขา
ในปี พ.ศ. 2557 ซงแสดงร่วมกับคัง ดง-วอน ในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง มายบริลเลียนต์ไลฟ์ (My Brilliant Life) กำกับโดยอี เจ-ยง ภาพยนตร์ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายขายดีของคิม แอรันเรื่อง My Palpitating Life โดยเป็นเรื่องราวของสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ต้องสูญเสียลูกชายจากโรคชราในเด็กก่อนวัยอันควร ในปีเดียวกัน ซงแสดงในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง The Crossing รับบทเป็นโจว เหยุนเผิน ลูกสาวของนายธนาคารที่ร่ำรวย
ในปี พ.ศ. 2558 ซงแสดงในภาพยนตร์รักตลกเรื่อง The Queens ภาพยนตร์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการค้นหารักในหญิงสาว 4 คน โดยซงรับบทเป็นหญิงสาวที่พยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง หลังจากเลิกรากับคนรักที่คบหากันมา 8 ปี นำแสดงโดยเฉิน เฉียวเอินและวิเวียน วู กำกับโดยแอนนี อี
ในปี พ.ศ. 2559 ซงแสดงร่วมกับซง จุง-กีในละครเรื่อง ชีวิตเพื่อชาติ รักนี้เพื่อเธอ โดยเป็นเรื่องราวของร้อยเอกแห่งกำลังพิเศษและศัลยแพทย์ที่ตกหลุมรักกันท่ามกลางพื้นที่ภัยพิบัติอันตรายในประเทศอูรุก ละครเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยได้รับเรตติงในตอนจบทั่วประเทศสูงถึงร้อยละ 38.8% และ 41.6% ในเขตเมืองหลวง จากความนิยมที่พุ่งสูงขึ้นทั่วทั้งเกาหลีและเอเชีย ทำให้เธอมีชื่อเสียงในระดับฮันรยู สำหรับการแสดงจากละครเรื่องนี้ ซงถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากรางวัลแพ็กซังอาร์ตส์อวอร์ดส์ และเอแพนสตาร์อวอร์ดส์ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทมินิซีรีส์ขนาดสั้น รวมถึงเข้าชิงรางวัลแดซัง ซึ่งเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดในงานอีกด้วย และจากละครเรื่องนี้ก็ก่อให้เกิดกระแสคู่จิ้นระหว่างจุงกีและฮเย-กโยและมีข่าวลือออกมาว่าทั้งสองออกเดทกันแต่ต้นสังกัดของทั้งสองก็ได้ออกมาปฏิเสธ
กระทั่งวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ต้นสังกัดของทั้งสองได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าทั้งสองจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560